คอมพิวเตอร์สามารถจำแนกได้หลายประเภท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของขนาดเครื่องความเร็วในการประมวลผล
และราคาเป็นข้อพิจารณาหลัก ซึ่งโดยทั่วไปนิยมจำแนกประเภทคอมพิวเตอร์เป็น 7 ประเภทดังนี้ คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์(Supercomputer)
คอมพิวเตอร์เมนเฟรม(Mainframe Computer) มินิคอมพิวเตอร์(Minicomputer) คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(Desktop Computer)
โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์(Notebook Computer)
คอมพิวเตอร์พกพาขนาดฝ่ามือ(Hand-held Personal Computer)
และคอมพิวเตอร์แบบฝัง (Embedded Computer) ซึ่งมีรายละเอียด
ดังนี้
ลักษณะและประเภทของคอมพิวเตอร์
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เป็น
คอมพิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง มีขนาดของความจำมาก
ตั้งอยู่ในห้องที่สามารถปรับอุณหภูมิได้
การใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักในงานวิจัย เช่น
การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม การพยากรณ์อากาศ
และงานอื่นๆที่มีการคำนวณซับซ้อน
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=576
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพรองลงมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่สามารถเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ปลายทางได้จำนวนมาก
ทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้พร้อมกันหลายร้อยคน
จึงมักใช้ในองคืกรขนาดใหญ่
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/10190
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดกลางที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าเมนเฟรม
คอมพิวเตอร์ แต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ มักพบในองค์กรที่ใช้งานเฉพาะด้าน
เช่น ประมวลผลงานบัยชี โดยนำไปเชื่อมต่อกับเครื่องปลายทางได้หลายคน
โดยมีการประมวลผลที่อยู่ส่วนกลาง แล้วส่งผลไปที่เครื่องปลายทาง
โดยที่เครื่องปลายทางไม่ต้องประมวลผลเอง
มินิคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://www.tsu.ac.th/cst/course/computer_it/lesson3/lesson3-3.html
4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย
ทีทั้งคอมพิวตอร์ส่วนบุคคลแบบตั้งโต๊ะ ซึ่งเหมาะกับการทำงานในสำนักงาน
สถานศึกษา ที่บ้าน หรือคอมพิวเตอร์แบบพกพาไปในสถานที่ต่างๆได้ เช่น
โน๊ตบุ๊ก เป็นต้น
คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
ที่มา : http://www.tsu.ac.th/cst/course/computer_it/lesson3/lesson3-3.html
 
1. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) |
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก
บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี
(Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย
หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal)
ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดู
ผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย
อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์
คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์
ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้
สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้ |
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop
computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ
มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระ |
แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์
(laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้
จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal
Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม |
โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook computer)
เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ
1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว
หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือน
กับแล็ปท็อป |
ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer)
เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม
เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน
บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัว
ไปมาได้สะดวก |
2. สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation) |
ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่เป็นวิศวกร
นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ
สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก
การสร้างรูปภาพและการทำภาพเคลื่อนไหว
การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่ายทำให้สามารถแลกเปลี่ยน
ข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จ
สำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ
การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์
งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุมเครื่องจักร
การซื้อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้อเครื่องไมโคร
คอมพิวเตอร์
เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จสำหรับไมโคร
คอมพิวเตอร์ได้ และมีลักษณะการใช้งานเหมือนกัน
ส่วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุ่งยากกว่า
สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์มาก
การใช้งานก็ต้องการบุคลากรที่มีการฝึกหัดมาอย่างดี
หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้
สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์
ประสิทธิภาพของซีพียูของระบบอยู่ในช่วง 50-100 ล้านคำสั่งต่อวินาที
(Million Instruction Per Second : MIPS)
อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียูแบบริสก์ (Reduced Instruction Set
Computer :RISC)
ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำนวณของซีพียูสูงขึ้นได้อีก
ทำให้สร้างสถานีงานวิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำนวณได้มากกว่า 100
ล้านคำสั่งต่อวินาที
|
3. มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer) |
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ
กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้
มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม
นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง
จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน
เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม
งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server)
มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล
ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร
|
4. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer) |
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการ
พัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้น
ส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก
มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ
และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูง
ขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง
และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น
ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม
อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็น
ชัด
ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง
ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น
ราคาถูกลง
ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือ
ข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม
|
5. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer) |
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงาน
คำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น
งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ
เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน
และระดับชึ้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก
นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็ว
สูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุะ งานควบคุมทางอวกาศ
งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี
เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว
และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น
การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว
เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ
เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing
: MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลาเ |

|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น